เลี้ยงลูกจ้ำม่ำน่ากอด ส่งผลเสียกว่าที่คิด
“จากสถิติพบว่ามีเด็กทั่วโลกเป็นโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้น 2-3 เท่ามาตั้งแต่ปี 1980 และไม่มีทีท่าว่าจะลดลง และ 10 ปีที่ผ่านมา พบเด็กไทย ‘อ้วน’ ติดอันดับ 3 ในอาเซียน สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจาก ปัจจุบันเด็ก ‘เมินนมแม่’ ทานนมผง มากขึ้น”
จากข้อมูลของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
เป็นผลลัพธ์ของปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อมส่งผลให้เกิดความไม่สมดุล ระหว่างพลังงานที่บริโภค (Energ intake)กับการใช้พลังงาน (Energy Expenditure)
เด็กที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าเกณฑ์ และปริมาณไขมันมากเกินกว่าปกติ เมื่อเทียบกับน้ำหนักและความสูงมาตรฐานในช่วงอายุและเพศเดียวกัน ส่วนใหญ่เกิดจากการบริโภคอาหารที่มีแคลอรี่ และไขมันสูงมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ
หมายเหตุ - การตรวจเลือดบางชนิดมีการปฏิบัติตัวที่ต่างกัน ควรสอบถามแพทย์ถึงการปฏิบัติตัวก่อนรับการตรวจ
เด็กอ้วน เมื่อเข้าสู่วัยผู้ให้อาจมีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งสูงกว่าคนทั่วไป เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งตับและมะเร็งตับอ่อน มะเร็งถุงน้ำดี
มีภาวะไขมันพอกตับ และภาวะกรดไหลย้อน
มีเหงื่อออกมาก ทำให้บริเวณตามข้อพับอับชื้น และเกิดผื่น บริเวณข้อพับเป็นปื้นสีดำ เหมือนคนเป็นเบาหวาน จากการเกิดภาวะร่างกายที่ดื้ออินซูลิน
เหนื่อยง่ายจากการที่มีไขมันสะสมในช่องอก ช่องท้องมีภาวะหายใจอุดกั้นขณะนอนหลับได้
ความดันโลหิตสูง มีระดับไขมันในเลือดสูง ส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้
เสี่ยงเกิดเป็นเบาหวานชนิดที่สอง , อาจมีประจำเดือนเร็วกว่าปกติ , ภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย, ภาวะถุงน้ำในรังไข่
เท้าแบน ปวดเข่าและสะโพก จากน้ำหนักเกิน
เด็กที่มีแนวโน้วที่จะเป็นภาวะอ้วน ครอบครัวเป็นหนึ่งในสาเหตุหลัก ที่มีอิทธิพลในการใช้ชีวิต ทั้งในการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกาย ควรปรับพฤติกรรมอย่างเหมาะสมโดยที่
เป็นการรักษาหลักในผู้ป่วยเด็ก โดยเน้นที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยตั้งเป้าหมาย ลดน้ำหนักอย่างน้อย 10% ใน 6 เดือน ได้แก่
-ออกกำลังกายเน้นการออกกำลังแบบแอโรบิค วันละ 30 นาทีขึ้นไป อย่างน้อย 3-5 วันต่อสัปดาห์ ปรับพฤติกรรมโดยเพิ่มการเดินมากขึ้น เช่น เดินขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟท์ ไม่นั่งแช่อยู่หน้าจอทีวีเป็นเวลานาน
- ลดปริมาณการรับประทานอาหาร โดยคำนวณปริมาณแคลอรี่ที่เหมาะสมต่อวัน ลดอาหารประเภท ของทอด น้ำหวาน น้ำอัดลม อาหารไขมันสูง
แนะนำในผู้ป่วยเด็กที่มีภาวะแทรกซ้อนของภาวะอ้วนหรือมีภาวะอ้วนรุนแรง ได้แก่
- ยาลดนำหนักแบบรับประทาน ในปัจจุบัน ใช้ได้ในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปที่มีภาวะอ้วนรุนแรง
- รักษาตามภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น เช่น เบาหวานชนิดที่ 2 รักษาโดยใช้ยากิน เช่น metformin หรือยาฉีด เช่น GLP-1 receptor agonist เป็นต้น, ภาวะไขมันในเลือดสูง รักษาโดยใช้ยาลดไขมัน เช่น statins เป็นต้น
ผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วนรุนแรง ซึ่งรักษาด้วยการรับประทานยาแล้วไม่ดีขึ้น ร่วมกับมีภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง ซึ่งหากไม่ได้รับการผ่าตัดอาจจะมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงตามมาได้ ซึ่งผู้ป่วยควรมีอายุ 13 ปีขึ้นไป รวมทั้งสามารถปรับพฤติกรรมการกินให้เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ป่วยและผู้ปกครองควรได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาเป็นอย่างดี และยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้
ครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญในการเลี้ยงดู และยังมีอิทธิพลต่อการรับประทานอาหารของเด็ก ควรใส่ใจ ร่วมมือป้องกันแต่เนิ่นๆ หากพบว่าลูกของเรามีภาวะโรคอ้วน สิ่งที่เราทำได้ คือการดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีแคลอรี่และไขมันสูง เช่น แป้ง ของหวาน ของมัน ของทอด การเล่น ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมตามวัย เพื่อให้ลูกของเรามีสุขภาพที่แข็งแรง ลดความเสี่ยงการเกิดโรค และการเจ็บป่วย หากเกิดปัญหาแล้ว ในครอบครัวควรให้กำลังใจกัน เพื่อให้เด็กมีช่วงเวลาชีวิตในวัยเด็กอย่างมีความสุข เพื่อพร้อมรับมือการเติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์
การตรวจสุขภาพร่างกายประจำปีเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อคัดกรองโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคที่สัมพันธ์กับโรคอ้วน หากพบว่าลูกของเราเสี่ยงภาวะโรคอ้วน ควรได้รับการตรวจประเมินโดยแพทย์ เพื่อหาสาเหตุรวมถึงดูแลรักษา เพื่อหาวิธีการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
พ.ญ.อัมพาพรรณ์ นรสุนทร
(กุมารแพทย์เฉพาะทางโรคต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม)
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน