การฉีดวัคซีนจะสามารถช่วย..
เชื้อไข้หวัดใหญ่ โดยทั่วไปการติดเชื้อไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรง ผู้ป่วยมักจะหายได้เองภายใน 3-5 วันหลังจากมีอาการ แต่หากเป็นผู้สูงอายุจะมีอัตราเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สูง รวมทั้งอัตราการเสียชีวิตก็สูงตามไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
ฉีดบ่อยแค่ไหน? : ควรฉีดปีละ 1 ครั้ง
ควรฉีดในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึนไป โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัย มีโรคประจำตัว โรคหัวใจ โรคปอด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งปอดอักเสบมีสาเหตุส่วนใหญ่จากการติดเชื้อ และเชื้อโรคหนึ่งที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคปอดอักเสบคือเชื้อนิวโมคอคคัส ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่ง การติดเชื้อปอดอักเสบจะส่งผลให้การทำงานของระบบหายใจแย่ลง และทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด และอาจเสียชีวิตได้ในที่สุดได้
ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นบาดทะยักส่วนใหญ่มักไม่มีประวัติรับวัคซีนป้องกันโรคมาก่อน
ฉีดบ่อยแค่ไหน? : ควรฉีดกระตุ้นภูมิทุกๆ 10 ปี
แนะนำในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เพื่อลดอุบัติการณ์การเกิดโรคงูสวัด และช่วยลดความรุนแรงของอาการงูสวัดได้ ทั้งนี้คนที่เคยเป็นโรคไข้สุกใสมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคงูสวัดได้
ฉีดบ่อยแค่ไหน? : ผู้ที่อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ควรรับวัคซีนเข็มที่ 2 ฉีดห่างจากเข็มแรก 2-6 เดือน โดยวัคซีนสามารถป้องกันการเกิดโรคงูสวัดและอาการปวดปลายประสาทหลังเป็นโรคงูสวัดในคนกลุ่มนี้ได้มากกว่าร้อยละ 90
วัคซีนไวรัสตับอักเสบ Aและ B สามารถฉีดได้ทุกช่วงอายุ ตั้งแต่อายุ 1 ปี ขึ้นไป เพราะการฉีดวัคซีนช่วยป้องกันไวรัสตับอักเสบได้อย่างเห็นผล โดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบเอและไวรัสตับอักเสบบีที่อาจร้ายแรงถึงชีวิตหากป่วยเรื้อรัง จึงควรใส่ใจและเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ครบถ้วนตามที่แพทย์กำหนด
ฉีดบ่อยแค่ไหน? : ควรฉีด 3 เข็ม หลังจากฉีดเข็มแรกแล้ว 1 เดือนจึงฉีดเข็มที่ 2 และฉีดเข็มที่ 3 หลังจากฉีดเข็มที่ 2 แล้ว 5 เดือน
สุดท้าย สำหรับใครที่ต้องการเข้ารับการฉีดวัคซีน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนเสมอ
รับชมวิดีโอ :
บทความโดย
นพ.กันตพงศ์ รุ้งวราห์รัตน์
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน