คือ เกล็ดเลือดที่มีความเข้มข้นกว่าเกล็ดเลือดในกระแสโลหิตทั่วไปอย่างน้อย 5 เท่า ยิ่งความเข้มข้นสูง ประสิทธิภาพในการรักษายิ่งเห็นผลชัดเจน โดย PRP ในความเข้มข้นตามมาตรฐานนั้น จะได้จากการเจาะ
ของผู้ป่วยเองผสมกับสารกันเลือดแข็ง นำไปปั่นตกตะกอน ด้วยความเร็วรอบที่เหมาะสม
Growth Factor มากมายหลายชนิดซึ่งจะช่วยสร้าง และส่งเสริมการสร้างเส้นเลือด กระตุ้นการเจริญเติบโตและการแบ่งของเซลล์ผิวหนัง กระดูก คอลลาเจน ช่วยให้แผลสมานเร็วขึ้น
ดังนั้น นวัตกรรมทางการแพทย์ในปัจจุบัน จึงนิยมนำ PRP มาใช้ในการรักษาด้านต่างๆ เนื่องจากเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัย เพราะเป็นเลือดของคนไข้เอง
1.ด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์ในปัจจุบัน มีข้อมูลการศึกษามากมาย ที่สนับสนุนว่า PRP Therapy สามารถรักษา
อาการบาดเจ็บได้หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น โรคที่มีความเสื่อมของเส้นเอ็นบริเวณ ไหล่ ข้อศอก เอ็นร้อยหวาย พังผืด ที่ฝ่าเท้าอักเสบรื้อรัง รวมถึงการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมระยะแรก กระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูกเสื่อม เป็นต้น
2.PRP Therapy จึงเป็นทางเลือกที่ดีต่อคุณภาพชีวิตของคนไข้ในระยะยาว เพราะขั้นตอนน้อย ไม่ต้องผ่าตัด
มีการบอบช้ำของเนื้อเยื่อน้อย ไม่เกิดรอยแผลเป็น เร่งกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อตามธรรมชาติ ชะลอความเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อและข้อต่อ
3.เนื่องจากเป็นการนำเลือดของผู้ป่วยฉีดกลับเข้าไปสร้างเนื้อเยื่อ จึงไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรง
หากรักษาด้วยวิธีนี้ ทั้งประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับทางเลือกแบบการผ่าตัด
หลอด PRP PROKIT 30 cc ได้ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัย อย.
ระหว่างการใช้ PRP 500,000 PIt กับการใช้ PRP 4,000,000 Pt ในการรักษาฟื้นฟู ทางไหนจะหายจากการบาดเจ็บได้รวดเร็วกว่ากัน?
ย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพการรักษาและความสะอาด ปลอดภัยที่แตกต่างกัน และแน่นอนที่สุดว่าความข้มขันของ
PRP นั้น ยิ่งสูงย่อมส่งผลต่อการรักษาที่ดีกว่า
ผ่านขั้นตอนที่มีความสะอาด ปลอดเชื้อ โดยผู้เชี่ยงชาญ จึงเป็นเรื่องที่มีความจำเป็น เพราะส่งผลต่อการรักษาโดยตรง
ณ ปัจจุบัน การนำ PRP มาใช้ในการรักษา มีข้อมูลทางการแพทย์สนับสนุนว่า ควรใช้ความเข้มข้นขั้นต่ำ 5 เท่าขึ้นไป ยิ่งสามารถสกัด PRP ได้สูง ยิ่งให้ผลการรักษาที่ชัดเจน และนำมารักษาได้หลากหลาย
ปัจจุบัน สามารถนำ PRP ความข้มขันสูงที่สกัดได้ มาผ่านกระบวนการกระตุ้นด้วยขั้นตอนปลอดเชื้อ เป็นการนำเกล็ดเลือดเข้มขันมาผ่านแรงเสียดทานด้วย CapillaryTube ขนาดเล็กเพื่อเพิ่มระดับ Growth factor ให้สูงขึ้นถึง 2 เท่า เร่งกระบวนการรักษาฟื้นฟูให้เห็นผลไวขึ้น อีกทั้งยังมีความปลอดภัยมากกว่าการกระตุ้นด้วยสารเคมี ซึ่งจะสามารถก่อให้เกิดการแพ้ได้
มีงานวิจัยในสัตว์ทดลอง เปรียบเทียบการสมานแผลระหว่างการใช้ PRP กับการใช้ PRP ที่ผ่านการกระตุ้นแล้ว พบว่า PRP ที่ผ่านการถูกกระตุ้นนั้นสามารถสมานแผลได้ในระยะเวลาเพียง 15 วันเลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อเทียบเคียงกับการรักษาอาการบาดเจ็บในรูปแบบอื่น จึงมีแนวโน้มว่าผลการรักษาจะเห็นผลได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน
ทางเลือกในการรักษาที่เหมาะสมก่อนตัดสินใจ สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเปรียบเทียบเพราะ PRP THERAPY มีหลายที่ และแต่ละที่ไม่เหมือนกัน
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน